ธ ร ร ม ร ำ พึ ง

 

 

     สิ่งใด ๆ ที่เราเคยรู้ เคยจำได้ เคยเข้าใจ เคยรู้โดยความเป็นกลุ่มก้อน. ..จากนั้นเราทบทวนความรู้นั้น เรียบเรียงเป็นถ้อยคำเพื่อออกแสดง การเรียบเรียงนี้นั้น เคลื่อนไหวผ่านจิตใจ เป็นธรรมารมณ์อันเกิดขึ้นต่อเนื่อง ผุดขึ้นจากสัญญาขันธ์ และร้อยเรียงด้วยสังขารขันธ์ การทบทวนร้อยเรียงนี้แล ข้าพเจ้าเรียกว่า "ธรรมรำพึง”  ไม่ว่า ธรรมที่รำพึงนั้น จะละเอียดลึกซึ้ง หรือ ตื้นเขิน ก็ตาม อันความละเอียด ลึกซึ้ง ตื้นเขิน ขึ้นอยู่กับภูมิจิตภูมิธรรม ของแต่ละคน

     เมื่อเราทบทวนร้อยเรียงถ้อยคำอยู่ ถ้อยคำเหล่านั้น เกิดแต่สังขารขันธ์อาศัยสัญญาขันธ์ เป็นบริกรรมอย่างหนึ่ง เป็นเครื่องรู้ของจิต เป็นเครื่องระลึกของสติ

     เมื่อเราทบทวนร้อยเรียงอยู่ สติจับอยู่ที่ถ้อยคำบริกรรมนั้น จิตรู้ถ้อยคำบริกรรมนั้น สติก็เจริญได้

     เมื่อเราจดจ่ออยู่กับการทบทวนร้อยเรียง อันเรียกเป็นภาษาธรรมดาว่า "คิดในใจ"   อยู่ ... เราจักระลึกได้ชัด รู้ชัด นั่นคือ ได้ยิน(ด้วยใจ) รู้ ถ้อยคำแต่ละพยางค์ แต่ละคำ ชัดเจน แจ่มใส ...เป็นธรรมารมณ์ที่กระทบมโนทวาร

 

พันโพน
พันภู